ประสบการณ์น่าแบ่งปัน
------------------------------------------ ทำไมต้องละลายพฤติกรรม |
![]() |
เป็นคำถามในใจของผมที่เวลาผมไปอบรมแล้วเจอกับวิทยากรที่มาทำกิจกรรม “ละลายพฤติกรรม” ทั้งที่จริง ๆ แล้ว ผมคิดว่าไม่ต้องมาละลายพฤติกรรมหรอกถ้ามาละลายพฤติกรรมแบบนี้ เสียเวลา จะอบรมเรื่องอะไรก็ว่าไปเลยดีกว่า เพราะการละลายพฤติกรรมของวิทยากรส่วนใหญ่ ก็ไม่พ้นการเล่นเกม การเต้นแร้งเต้นกา ในมุมมองของวิทยากรละลายพฤติกรรมแบบนี้ ก็มักจะมีมุมมองตามที่เขาพูดบอกว่า “ขอให้ลดอายุ ขอให้ถอดหัวโชน ถอดยศ ถอดตำแหน่ง” ผมก็นึกในใจอีก ว่าทำไมต้อง ลดอายุ ถอดหัวโชน ถอดยศ ถอดตำแหน่ง แล้วกิจกรรมของนักละลายพฤติกรรม วิทยากรก็จะสนุกสนานกันเอง บนความทุกข์ยากของคนอบรม มองคนอบรมเป็นตัวตลก ใช้คำพูดล้อเลียน ใช้คำพูดเหมือนคนอบรมเป็นเด็ก ไม่ให้เกียรติคนอบรม หลายครั้งที่ผมเจอวิทยากรประเภทนี้ ผมไม่ฝืน ผมไม่ทนครับ ผมทำท่ารับโทรศัพท์แล้วผมก็เดินออกจากห้องไปเลย รอดูว่า เมื่อละลายพฤติกรรมเสร็จ ผมจึงค่อยกลับเข้ามา และก็แทบไม่น่าเชื่อว่า วิทยากรละลายพฤติกรรม ก็เป็นทั้งนักการศึกษา นักวิชาการ ที่มีความรู้สูง และ มีทั้งนักจิตวิทยา ที่มีความรู้เรื่องจิตวิทยา ที่ผมคิดว่าไม่น่ามาทำกิจกรรมแบบนี้
การละลายพฤติกรรมที่ถูกต้องตามหลักการ ในหนังสือ “Your Brain Work” โดย Dr.David Rock ได้กล่าวถึง การละลายพฤติกรรมที่ถูกต้องตามหลักการไว้ว่า “สัญชาตญาณแบบสัตว์ของคนเรา ดูเหมือนทำให้เราเหินห่างจากคนอื่นและปฏิบัติตัวเป็นศัตรูต่อผู้อื่นด้วย ยกเว้นมีสถานการณ์บางอย่าง ซึ่งก่อให้เกิดสารออกซิโตซิน ปรากฏการณ์นี้ คือ มันอธิบายว่า ทำไมผู้ดูแลการฝึกอบรมและวิทยากรต้องการให้มี “การละลายน้ำแข็ง” ตอนเริ่มต้นอบรมเชิงปฏิบัติการ” สารออกซิโตซิน เป็น ฮอร์โมนแห่งความรัก (love hormone), ฮอร์โมนแห่งการกอดรัด (cuddie hormone) และ ฮอร์โมนแห่งความเชื่อใจ (trust hormone) เพราะส่งเสริมให้เกิดความรัก ความผูกพัน และความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน Dr.David Rock กล่าวอีกว่า “การวิจัยในหัวข้อจิตวิทยาเชิงบวก แสดงให้เห็นว่า มีประสบการณ์หนึ่งเดียวในชีวิตที่เพิ่มความสุขได้ยั่งยืน คือ คุณภาพและปริมาณของการเชื่อมโยงด้านสังคมของคนเรานั่นเอง” “สมองจะงอกงามในสภาพแวดล้อมที่มีการเชื่อมโยงทางสังคมอย่างมีคุณภาพ อันเป็นสัมพันธภาพที่ปลอดภัย” “การเชื่อมโยงสัมพันธ์กับผู้อื่นในเชิงบวก การรู้สึกถึงสัมพันธภาพ เป็นความต้องการขั้นพื้นฐานสำหรับมนุษย์ คล้ายการกินและการดื่ม” กลับมาที่การละลายพฤติกรรมของวิทยากรด้วยการเล่นเกม ด้วยการเต้นแร้งเต้นกา เป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดสารออกซิโตซินหรือไม่ เป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการเชื่อมโยงทางสังคมอย่างมีคุณภาพ อันเป็นสัมพันธภาพที่ปลอดภัย หรือไม่ ผมคิดว่า นอกจากไม่เกิดสารออกซิโตซินแล้ว ยังจะทำให้ผู้อบรมรู้สึกแปลกแยก และ ไม่ปลอดภัย |
![]() |
จัดกิจกรรมละลายพฤติกรรมอย่างไรให้เกิดสารออกซิโตซิน
การจัดกิจกรรมละลายพฤติกรรมที่ทำให้เกิดสารออกซิโตซินมีหลายกิจกรรม หลายรูปแบบ ที่ผมเคยได้สัมผัสมา โดยกิจกรรมที่ก่อให้เกิดสารออกซิโตซิน มักไม่ใช่กิจกรรมที่สนุกสนาน หัวเราะ แต่เป็นกิจกรรมที่พูดคุยกันเงียบๆ เบาๆ วิทยากรก็จะไม่ค่อยมีตัวตน วิทยากร เรียบง่าย พูดเสียงเบา พูดช้า ผ่อนคลาย กิจกรรมก็จะช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป วิทยากร จะให้เกียรติผู้เข้ารับการอบรมทุกคนด้วย “จิตวิทยาเชิงบวก” เน้น ให้มีความกล้าในการแสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมา ด้วยการแสดงความคิด ความรู้สึก ออกมาแชร์ร่วมกัน เมื่อแต่ละคน ได้แสดงตัวตนออกมาแล้วได้การยอมรับจากสมาชิกในกลุ่ม ก็จะเกิดบรรยากาศที่ปลอดภัย และ บรรยากาศแห่งความไว้วางใจ เกิดความสัมพันธ์เชื่อมโยงทางสังคม ทุกคน คือ “เพื่อนที่ยอมรับฟังและไว้ใจได้” สารออกซิโตซินก็จะหลั่งออกมา ก็ถือว่า การละลายพฤติกรรมประสบผลสำเร็จ ตัวอย่างนวัตกรรม “ละลายพฤติกรรม” ที่ทำให้สมองหลั่งสาร “ออกซิโตซิน” กิจกรรมละลายพฤติกรรมที่ได้ผล มีหลายกิจกรรม แต่ในที่นี้ จะขอยกตัวอย่างของนวัตกรรม “จิตศึกษา” |
![]() |
กระบวนทัศน์ของจิตศึกษาประกอบด้วย
1. การสร้างความเป็นชุมชนและวิถีชุมชน เริ่มตั้งแต่การจัดสภาพแวดล้อมภายในเอื้อต่อการเรียนรู้ของนักเรียน ให้นักเรียนรู้สึกปลอดภัย มีแรงจูงใจเชิงบวก 2. การใช้จิตวิทยาเชิงบวก ศรัทธาในความดีงามของมนุษย์และบ่มเพาะ ผู้เรียนให้มีคุณค่าที่ดีงามซึ่งมีอยู่แล้วให้งอกงามยิ่งขึ้น โดยปฏิบัติต่อผู้เรียนอย่างมนุษย์ที่มีคุณค่าและมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน 3. การกระทำผ่านกิจกรรมจิตศึกษา ด้วยการจำลองสถานการณ์ที่เกี่ยวกับ ‘จริยธรรม’ อย่างชัดเจนที่สุดเพื่อให้ผู้เรียนได้ผ่านประสบการณ์ (จำลองทางความคิดและความรู้สึกนั้น) ได้ใคร่ครวญ ได้เข้าใจ และเคารพเรื่องราวการตัดสินทางจริยธรรมผ่านประสบการณ์ของผู้อื่น… ได้อย่างเบาที่สุด เจ็บปวดเองน้อยที่สุด จิตศึกษา: วิชาที่ไม่ใช่การเรียนสมาธิ แต่ชวนกันคุยเรื่องจริยธรรมเพื่อเลิกตัดสินและเคารพผู้อื่น การเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ของนักเรียนที่ได้มาเข้าวงจิตศึกษา คือ ก่อนจัดกิจกรรมจิตศึกษา มีนักเรียนหลายคน ที่หนีเรียน ขาดเรียนบ่อย ติดเกม ไม่ส่งงาน แต่เมื่อมาเข้าวงจิตศึกษา อัตราการมาเรียนมากขึ้น นักเรียนในใจเรียนมากขึ้น เพราะวงจิตศึกษา เป็นวงที่ก่อให้เกิดสาร “ออกซิโตซิน” กิจกรรมจิตศึกษา นอกจากช่วยสร้างสารออกซิโตซิน อันเป็นสารที่เกิดจากการมีสัมพันฑภาพเชิงบวกแล้ว ยังมีผลทำให้เกิดการพัฒนามุมมองของความคิด ที่กว้างขึ้นไปอีก สอดคล้องกับหลักการการทำงานของสมอง ตามที่ Dr.David Rock กล่าวไว้ว่า “การที่คุณมีเพื่อนอยู่รอบๆ ตัว ไม่เพียงช่วยให้คุณคิดได้ดีกว่า แต่ยังทำให้คุณสามารถเห็นสถานการณ์จากมุมมองใหม่ๆ ด้วยการสองผ่านสายตาของบุคคลอื่น การที่คุณมีผู้คนที่วางใจอยู่รอบ ๆ ตัวคุณ สามารถช่วยให้เกิดภูมิปัญญาขึ้นมาได้ โดยการคิดที่กว้างขวางยิ่งขึ้น และช่วยให้คุณมองเห็นความคิดของคุณ นี่เป็นแนวโน้มของคนส่วนใหญ่ เมื่อคนเรามองผู้อื่นเป็นมิตร ไม่ใช่ศัตรู” ผมจึงชอบกิจกรรมละละลายยพฤติกรรม ที่พูดคุยกันเงียบๆ เบาๆ เคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน ยอมรับและให้ความสำคัญกับความคิดและความรู้สึกของทุกคนอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน รู้สึกดีและมีพลัง พร้อมจะแสดงตัวตนเพื่อเรียนรู้รวมกันในกิจกรรมของการประชุม ------------------------------------------ |